ในการตัดสินใจเลือกเปลี่ยนฟิล์มกรองแสง มีปัจจัยที่ควรนำมาตัดสินใจได้แก่
การกันความร้อน : ควรมีค่าป้องกันรังสีความร้อน (Infared Rejection) มากกว่า 75% ขึ้นไป
การป้องกันรังสี UV : ในปัจจุบันมีฟิล์มที่สามารถกัน UV400 ได้ 100% เต็มแล้ว
ความสวยงามของสีฟิล์ม : ฟิล์มโลหะ(ปรอท) จะทำให้รถของคุณดูหรูหราขึ้น ส่วนฟิล์มดำจะทำให้รถดูสปอร์ต เท่
คุณสมบัติอื่นๆ เช่น ความหนาของฟิล์ม, การตัดแสงส่วนเกิน
“ ท่ามกลางความร้อนแรงของแดดเมืองไทย ที่ร้อนขึ้นในทุกๆปี สามารถสร้างความหงุดหงิด ในการขับรถได้ไม่น้อย
จนทำให้มีความคิดที่อยากจะเปลี่ยนฟิล์มกรองแสง ที่สามารถกันร้อนได้ดีขึ้น
แต่ในการเลือกฟิล์มกรองแสงที่ดีนั้น นอกจาก การจะดูเรื่องสามารถกันความร้อนว่าดีหรือไม่แล้ว คุณลูกค้ายังควรคำนึงถึงปัจจัยอื่นๆ ดังต่อไปนี้อีกด้วย...
** ค่าป้องกันกันความร้อนรวม (TSER : Total Solar Energy Rejection) นั้นจะเป็นค่าที่นำทั้งการป้องกันทั้งรังสีอินฟาเรด, ค่าป้องกันรังสียูวี และค่ากรองลำแสงที่มองเห็นของฟิล์มกรองแสง มาคิดรวมกัน
ฟิล์มกรองแสงที่มีค่า TSER สูง อาจจะไม่ได้หมายความว่าฟิล์มนั้นสามารถกันร้อนได้สูง
เป็นรังสีที่ทำให้ผิวหมองคล้ำ แสบไหม้จากแดด
เป็นรังสีที่ทำให้เป็นมะเร็งผิวหนัง ผิวเหี่ยวย่น กระ ฝ้า แก่ก่อนวัย
ถูกบล็อกโดยชั้นบรรยากาศของโลก ไม่ผ่านเข้ามาทำอันตรายต่อผิวเรา
โดยฟิล์มทั่วไปที่ระบุว่าป้องกันรังสี UV ได้ 99% นั้น จะสามารถป้องกันได้เฉพาะรังสี UVB 99% ส่วนรังสี UVA/UV400 นั้น ฟิล์มทั่วไปจะป้องกันได้เพียงบางส่วนเท่านั้น
แต่ในปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้น สามารถผลิตฟิล์มกรองแสงที่ป้องกันทั้งรังสี UVB และ UVA ได้เต็ม 100% แล้ว
ฟิล์มติดรถยนต์คุณภาพสูงนั้น จะมีกรรมวิธีการผลิตที่ละเอียด มากกว่าฟิล์มทั่วไป
จึงทำให้เนื้อฟิล์มที่ได้นั้นใส อาการขุนมัวจึงน้อยถึงไม่มีเลย ทำให้ทัศนวิสัยภายในรถยนต์ มีความคมชัดแม้ในยามค่ำคืน
โดยประเภทฟิล์มที่เหมาะกับการติดรถยนต์และสามารถกันร้อนได้ดี
คือ ฟิล์มโลหะสะท้อนปานกลาง และ ฟิล์มดำเซรามิค
> ตัดแสงส่วนเกิน (Blue Light Cut) ได้
> ฟิล์มบางยี่ห้อจะมีความหนากว่าฟิล์มทั่วไป (หนากึ่งนิรภัย) จะช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกระจกรถยนต์ได้